ญี่ปุ่นชะลอลงทุนไทยชั่วคราว หลังเจอสึนามิ-แผ่นดินไหว

Pic_155836

บิ๊กแบงก์กรุงไทยรับ แผ่นดินไหว-สึนามิ ส่งผลนักลงทุนญี่ปุ่นชะลอลงทุนในไทยชั่วคราว ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายแดงที่ศาลปกครองสั่งเพิกถอนการว่าจ้างกลุ่มยูนิค-ซุน วู จอยท์เวนเจอร์ แบงก์ยันไม่ตัดวงเงินสินเชื่อ พร้อมสนับสนุนสินเชื่อต่อไป...

14 มี.ค. นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเกิดเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่น การลงทุนขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นที่มีแผนลงทุนในประเทศ อาจมีการชะลอตัวระยะหนึ่ง ขณะที่การลงทุนที่มีแผนงานไว้ เชื่อว่าจะดำเนินการต่อไป แต่ต้องรอการฟื้นฟูประเทศ

สำหรับธุรกิจส่งออกและธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ส่งสินค้าไปยังประเทศญี่ปุ่น ได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่มาก เนื่องจากสินค้าส่งออกของไทย ส่วนใหญ่ส่งออกในแถบอาเซียนและจีน ส่วนตลาดญี่ปุ่นในปัจจุบันมีสัดส่วนที่ไม่มาก จึงเชื่อว่ามีผลกระทบต่อภาพรวมของธนาคาร

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คำสั่งซื้อสินค้าจากญี่ปุ่นเริ่มมีการหยุดชะงักชั่วคราว แต่ลูกค้าของธนาคารยังไม่มีการหยุดผลิต เนื่องจากเมื่อมีการฟื้นฟูประเทศ เชื่อว่าจะต้องมีการสั่งซื้อสินค้าจากประเทศไทยเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมของไทย เชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะจากการสอบถามลูกค้าของธนาคาร ได้ยืนยันว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางมาปกติ

“ลูกค้าแพ็กกิ้งเครดิตที่ส่งสินค้าออกไปญี่ปุ่น หากรายใดได้รับผลกระทบ เมื่อติดต่อมา ธนาคารก็พร้อมพิจารณาช่วยเหลือ โดยรูปแบบการช่วยเหลือจะพิจารณาเป็นรายๆ ไป” นายอภิศักดิ์ กล่าว

กรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย กล่าวถึงกรณีศาลปกครองกลางมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งจ้างกลุ่มยูนิค-ซุนวู จอยท์เวนเจอร์ ในการก่อสร้างโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ว่า ธนาคารได้เป็นผู้สนับสนุนสินเชื่อในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งขณะนี้ธนาคารยังให้การสนับสนุนเป็นปกติ ไม่ได้มีการระงับหรือตัดวงเงินสินเชื่อ เนื่องจากโครงการยังดำเนินการก่อสร้างเป็นปกติ

“โครงการยังไม่ได้หยุดก่อสร้าง ธนาคารยังสนับสนุนสินเชื่อเป็นปกติ ที่ผ่านมาลูกค้ามีการชำระหนี้เข้ามามากแล้ว เพราะเมื่อโครงการที่ก่อสร้างมีการส่งงวดงานให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ก็จะได้เงินมาชำระหนี้กับธนาคาร และตอนนี้ชำระหนี้เข้ามามากแล้ว และวงเงินสินเชื่อที่ปล่อยไปเป็นหลักพันล้านบาท” นายอภิศักดิ์ กล่าว

สำหรับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารในช่วง 2 เดือนแรก มียอดการปล่อยสินเชื่อลูกค้ารายใหญ่เข้ามาจำนวนมาก ทำให้เมื่อเทียบระหว่างเดือนต่อเดือน หรือเทียบระหว่างไตรมาสนี้กับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อสูงกว่าที่คาดหวัง และเชื่อว่าปีนี้ยอดสินเชื่อโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7-8 %

“ยอดสินเชื่อเอกชนรายใหญ่ที่ปล่อยไปช่วง 2 เดือน มีวงเงิน 40,000-50,000 ล้านบาท แต่ก็มีสินเชื่อราชการ มีการนำเงินมาชำระคืน 20,000-30,000 ล้านบาท และเมื่อหักกลับกันแล้ว ยอดสินเชื่อได้เติบโตเพิ่มขึ้นมาก แต่ว่าจะมีสินเชื่อราชการชำระคืน” นายอภิศักดิ์ กล่าว

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์