แผ่นดินไหวยุ่นสะเทือนตลาดหุ้นร่วงทั้งภูมิภาค

 

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยประจำวันที่ 11 มี.ค.54 ปิดตลาดที่ระดับ 1,007.06 จุด ลดลง 12.16 จุด มูลค่าการซื้อขายทั้งส้ิน 28,549.06 ล้านบาท

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำวันศุกร์ที่ 11 มี.ค.2554 ปิดตลาดที่ระดับ 1,007.06 จุด ลดลง 12.16 จุด มูลค่าการซื้อขายทั้งส้ิน 28,549.06 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น 114 หลักทรัพย์ ลดลง 286 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 130 หลักทรัพย์

สำหรับ 5 อันดับซื้อขายสูงสุด ได้แก่ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) , บริษัท โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) , บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) , ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)

ส่วนตลาดหุ้นภูมิภาค ปิดตลาดปรับตัวลดลงทุกตลาด โดยดัชนีสเตรทไทม์ หุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาด 3,043.49 จุด ลดลง 31.95 จุดดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 23,249.78 จุด ลดลง 365.11 จุด ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 10,254.43 จุด ลดลง 179.95 จุด และ ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 8,567.82 จุด ลดลง 75.08 จุด

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซียพลัสกล่าวถึงผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิที่ ประเทศญี่ปุ่นว่า คงส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแค่ระยะสั้นเท่านั้น เพราะตกใจของนักลงทุน แต่ตลาดหุ้นญี่ปุ่น สัปดาห์หน้าคงมีผลกระทบระดับ หนึ่ง อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้คงมีความต้องการวัสดุก่อสร้างเพื่อการซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนและ อาหาร โดยเฉพ่าะอาหารสำเร็จรูป ซึ่งอาจจะส่งผลดีต่อธุรกิจส่งออกอาหารของไทย อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยังมีความกังวลหลายอย่าง หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯบางตัวออกมาแย่กว่าที่คาด รวมทั้งยังมีข่าวมูดี้ส์ลด เครดิตประเทศสเปน และความกังวลกับตัวเลขเงินเฟ้อในจีน ที่มาเป็นตัวกดดัน ซึ่งอัตราเงินเฟ้อถือเป็นกับดักสำคัญที่จะเป็นตัวถ่วงตลาดหุ้น ที่จะทำให้ตลาดหุ้นในเอเชียรวมทั้งไทยปรับตัวขึ้นไปได้ยาก และมีโอกาสที่จะปรับ ตัวลงมาต่ำกว่า1,000จุดได้อีก

ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สึนามิที่เกิดขึ้นใน ประเทศญี่ปุ่นนั้นแม้จะมีผลกระทบด้านจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ที่มีต่อภูมิภาคเอเชีย และกระทบต่อการท่องเที่ยว รวมทั้งทำให้ราคา สินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ในส่วนของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น เห็นว่ายังมีโอกาสการลงทุนในหุ้นบางกกลุ่ม โดยเฉพาะหุ้นโรงกลั่นและ ปิโตรเคมี ซึ่งจะได้รับอานิสสงส์จากการที่โรงกลั่นน้ำมันในญี่ปุ่นต้องปิดตัว จนส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาทดแทน นอกจากนี้กลุ่มเกษตร ก็จะได้รับผลดี เพราะ เชื่อว่าจะมีความต้องการอาหารเพิ่มขึ้นมาก

“ระยะสั้น อาจมีแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นผลกระทบด้านจิตวิทยาการลงทุน แต่อาจมีบางธุรกิจขอไทยที่ได้ประโยชน์ เช่น โรงกลั่น ปิโตรเคมี และกลุ่มเกษตร ซึ่งจะมีความต้องการสินค้าสูงขึ้น”นายสุกิจ กล่าว