วิวาห์ร้อยล้าน 3 คู่คนดัง

       ต้องบอกว่าเป็นสัปดาห์แห่งความรักที่สุกงอมกันคงจะไม่ผิดนักสำหรับเสาร์และอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังมีคนในแวดวงบันเทิงถึงสามคู่ที่พากันจูงมือเข้าสู่ประตูวิวาห์ถึงสองวันติด ว่ากันว่าทั้ง 3 งานแต่งสุดอลังการ มีมูลค่าการจัดงานรวมทั้งสินสอดทองหมั้นนับร้อยล้านเลยทีเดียว
       
     

 "แอฟ-สงกรานต์" หวานกลางหุบเขา
       เริ่มต้นกันที่งานแต่งท่ามกลางธรรมชาติ ในวันอาทิตย์ที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ด้านเจ้าบ่าว “สงกรานต์ เตชะณรงค์” ก็ได้ถือเอาฤกษ์ดี เวลา 06.09 น. ยกขันหมากไปสู่ขอนักแสดงสาวสวย “แอฟ ทักษอร” โดยเป็นการจัดงานกันกลางแจ้งท่ามกลางหุบเขาที่สวยงามของเขาใหญ่ ที่ลานโบนันซ่า อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นที่ดินของฝ่ายชายนั่นเอง        
       
       ภายในงานมีเพื่อนดาราบางส่วนไปร่วมงานด้วย อาทิ ชาย ชาตโยดม พร้อมแฟนสาว วิกกี้ สุนิสา, เบนซ์ พรชิตา ฯ โดยในระหว่างที่เจ้าบ่าวซึ่งอยู่ในชุดเครื่องแบบข้าราชการสีขาวสะอาดตาได้ทำการสวมแหวนหมั้น ซึ่งเป็นแหวนประจำตระกูล "เตชะณรงค์" ให้กับนักแสดงสาวในชุดไทย เจ้าตัวถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาขณะที่ฝ่ายหญิงก็ได้สวมกอดว่าที่สามีตนเองด้วยความยินดี ส่วนเรื่องของมูลค่าสินสอดนั้นไม่ได้มีการเปิดเผยออกมาแต่อย่างใด         
       
       ทั้งนี้ หลังจากเสร็จพิธีหมั้นและรดน้ำสังข์ตามประเพณีก็จะมีการจัดเลี้ยงฉลองสมรสและจัดเลี้ยงแขกเหรื่อที่มาร่วมในงานซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัว ญาติๆ ตลอดจนเพื่อนสนิทของทั้งคู่ที่โรงแรมโบนันซ่า และหลังจากนั้น จึงจะจัดให้มีการเลี้ยงฉลองอีกครั้งที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2555...โดยว่ากันว่าในวันดังกล่าวจะเป็นงานช้างอย่างแน่นอน




       "วุ้นเส้น-ชาคริต" จะรักกันตลอดไป
       คู่หวานถัดมา เป็นคู่หนุ่มสาวนักแสดง "วุ้นเส้น วิริฒิภา" กับพระเอกหนุ่มชื่อดัง "ชาคริต แย้มนาม" ถือฤกษ์ในช่วงวันเสาร์ที่ 21 เมษายน 2555 งานจัดกันที่ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี โดยมีคนในแวดวงบันเทิงไปร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น หนิง นิรุตติ์ ศิริจรรยา, เจนี่ เทียนโพธิ์ สุวรรณ, นานา ไรบีน่า, พอลล่า เทเลอร์, แอน อลิชา ไล่ศัตรูไกล, เมย์ พิชญ์นาฏ สาขากร, แป้ง อรจิรา แหลมวิไล, เจนสุดา ปานโต, พิตต้า ณ พัทลุง, บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ, เจี๊ยบ เชิญยิ้ม, จุ๋ย วรัทยา นิลคูหา, เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์, หมิว ลลิตา ปัญโญภาส, เมย์ เฟื่องอารมย์, เป้ย ปานวาด เหมมณี ที่ควงคู่ว่าที่สามี ป๊อป เรือเอก นิธิ บุญยรัตกลิน มาเปิดตัวเป็นครั้งแรก 
                 
       บรรยากาศภายในงาน ถูกจัดตกแต่งภายใต้ธีม SECRET GARDEN โดยมีการประดับดาไปด้วยดอกไม้และแสงเทียนระยิบระยับ ส่วนของของชำร่วยนั้นเป็น COOK BOOK LOVE INGREDIENT และ DIARY NOTE CARD เพื่อบอกเล่าเรื่องราวการผสมผสานระหว่างความรัก ความเข้าใจ ความเอาใจใส่ เปรียบเสมือนการทำกับข้าวของชาคริต ทั้งนี้ หลังจากพิธีการต่างๆ เสร็จสิ้นลง คู่บ่าว-สาว ก็ได้จัด AFTER PARTY กับเพื่อนฝูงเป็นการฉลองวันแห่งความสุขแบบสมบูรณ์แบบ
       หลังจากนั้นทั้งสองก็พากันควงคู่ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงความรู้สึกในงานแต่งครั้งนี้ 
                 
       ชาคริต : “ตื่นเต้นมากครับ เมื่อคืนนอนไม่หลับ แล้วก็ทุกคน เพื่อนพี่มาด้วยใจ สนุกมาก มีความสุขมาก ตื่นเต้นแล้วก็รอเวลารับตัวเจ้าสาว ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี”
       วุ้นเส้น : “วุ้นตื่นเต้นเหมือนกัน ไม่ค่อยได้นอน นอนไม่หลับเลย ตอนแรกตื่นมากลัวไม่สวย แต่พี่คริตบอกว่าไม่ต้องห่วง สวยอยู่แล้ว มีความสุขมาก เมื่อเช้าเป็นพิธีสำคัญ มีสวมแหวน แล้วก็จดทะเบียน ความรู้สึกตอนจดก็คือวุ้นพร้อมแล้ว เราได้ใช้ชีวิตแต่งงานกลับใครสักคน เหมือนทำทุกอย่างตามหน้าที่ของภรรยา เราก็ต้องเปลี่ยนเป็นนาง เปลี่ยนนามสกุล รู้สึกว่าสมบูรณ์แล้ว สรุปใช้นามสกุลเป็นแย้มนาม แต่ว่ามีนามสกุลตัวเองเป็นชื่อกลาง”
       ชาคริต : “ก็รู้สึกดีใจ เพราะเขามาด้วยใจ ทุกอย่างเขาให้เราด้วยความรัก เขาให้เรามาก คงขออะไรมากกว่านี้ไม่ได้ อีก 3 วันก็จะครบรอบคบกัน 1 ปี” 
          
        คุณแม่อวยพรอะไรบ้าง?
       วุ้นเส้น : “วุ้นตอนแรกคิดไว้ก่อนเลยว่า คุณแม่มีความสุขมาก มีคนดูแล ส่วนที่เขาอวยพรอยากให้พรเป็นจริง ฝากฝังเรากับพี่คริตต่อ แฮปปี้มาก ไม่คิดว่าตัวเองจะได้มีโอกาสได้รดน้ำสังข์มีพิธีอะไรแบบนี้”
       ชาคริต : “รดน้ำคุณแม่ให้พร วุ้นก็น้ำตาไหล ทุกคนปลื้มด้วย เพื่อนที่ได้เห็นรูป แค่เห็นก็น้ำตาไหล ส่งแมสเสจมาบอก ทุกคนอยากให้เรามีความสุข แค่นี้ก็ดีใจแล้ว ทุกคนต่างดีใจที่เรามีวันนี้ เหมือนทุกคนลุ้นมาตลอด เมื่อไหร่เราสองคนจะมีความรักแบบนี้ เมื่อเช้าแม่พูดว่า ฝากดูแลด้วย วุ้นเป็นคนดี วุ้นกลั้นน้ำตาไม่อยู่” 
                  
       สำหรับการเตรียมงานเจ้าบ่าวบอกว่าโชคดีที่มีเพื่อนเป็น wedding planner
       ชาคริต : “โชคดีมีเพื่อนเป็น Wedding Planner เขารู้เรื่องของเราอยู่แล้ว ขอบคุณที่ทำให้งานสมบูรณ์ ธีมงานข้างนอกไม่อยากให้มีดอกไม้เยอะ ข้างในเป็น Secret Garden เอาทุกอย่างมารวมกัน ของชำร่วยเป็นสมุดบันทึกรูปของเรา ถ่ายแฟชั่นด้วยกัน มีสูตรทำขนมที่ชอบทำ และ Candy จะมีชื่อตัวย่อของเราสองคน วันที่ คำว่ารัก ส่วนแหวนเราสองคนเชื่อในเรื่องของความรัก ประมาณ 3 กะรัต
       วุ้นเส้น : “ส่วนของพี่คริตกะรัตกว่าๆ”
       ฝ่ายชายหยอดหวานบอกให้สัญญากับฝ่ายหญิงทุกวันว่าจะรักกันตลอดไป พร้อมบินฮันนีมูนฝรั่งเศสเดือนหน้า ส่วนเรื่องทายาทนั้นเจ้าบ่าวหมาดๆ เผยว่า...
       “เรื่องทายาท ทำงาน ขอเที่ยวกันสองคนก่อน ใช้ชีวิตด้วยกันก่อน รอไปก่อน”



       

       "แมงมุม-ผู้พันดอลล่า" อยู่ด้วยกันจนวันตาย
       มาถึงคู่สุดท้าย เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา เจ้าบ่าวในเครื่องแบบ “ดอลล่า-พล.ต.พัชร รัตตกุล” จูงมือ “คุณแมงมุม ม.ร.ว.ศรีคำรุ้ง ยุคล” บุตรีในหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล และหม่อมกมลา ยุคล ณ อยุธยา ฉลองมงคลพิธีสมรสพระราชทาน ที่จัดขึ้นภายในสวนหลวง ร. ๙ โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธี ท่ามกลางแขกผู้ใหญ่ คนดัง และเพื่อนสนิทของทั้งสองฝ่ายมากันอย่างคับคั่ง
        
       
       "จะร่วมชีวิตอยู่ด้วยกันไปจนวันตาย" นี่เป็นคำมั่นสัญญาของเจ้าบ่าวที่ให้แก่เจ้าสาวในวันแต่งงาน สร้างความตื้นตันใจให้เธอเป็นอย่างมาก พร้อมเปรยว่าตั้งใจปั๊มทายาท 3 คน ถ้าเป็นแฝด 3 เลยยิ่งดี
        
       
       "แมงมุมเป็นคนที่ทำให้ผมเป็นคนที่ดีขึ้น ต่อจากนี้เป็นต้นไป เราจะสร้างชีวิตทำมาหากิน สร้างครอบครัวต่อไป" ด้านเจ้าสาวปลื้มเจ้าบ่าวที่เป็นผู้ชายอบอุ่น "เขาทำให้เราเป็นตัวของเราเอง เขารักที่เราเป็นเรา" ส่วนเรื่องฮันนีมูนทั้งคู่เตรียมบินสวีทที่ประเทศอิตาลี
       
        
       
       ขอขอบคุณ :ภาพประกอบจาก MSN Sanook และ kapook.com

ถล่มยิง อส.ปัตตานี ดับคาที่ก่อนฉกปืน 2 กระบอกหนีลอยนวล

ปัตตานี - คนร้ายถล่มยิง อส. อ.เมืองปัตตานี ขณะขับ จยย.ไปเข้าเวรดับคาที่ 1 ราย สุดแสบก่อนหนีฉกปืนประจำตัวของผู้ตายหลบหนีลอยนวลไปอีก 2 กระบอก
       วันนี้ (23 เม.ย.) เมื่อเวลา 07.45 น. พ.ต.อ.สมพร มีสุข ผกก.สภ.เมืองปัตตานี ได้รับแจ้งมีเหตุยิงกันบนถนนสายปัตตานี - นราธิวาส ม.5 บ้านตาโกะ ต.รูสะมิแล จึงนำกำลังไปที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันธ์ ผบก. พ.ต.อ.จีรวัฒน์ อุดมสุด รอง ผบก. ว่าที่ ร.ต.เอกรัฐ ชูหวาน ปลัดป้องกัน อ.เมือง เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบผู้เสียชีวิตอยู่ในเครื่องแบบอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) ทราบชื่อคือ นายซุลกิฟลี ตาเฮ อายุ 46 ปี เป็น อส.อ.เมืองปัตตานี อยู่บ้านเลขที่ 32/1 ม.8 ต.ปะกาฮารัง อ.เมืองปัตตานี สภาพศพถูกยิงด้วยอาวุธปืนเอ็ม 16 และอาก้า เข้าศีรษะและลำตัวหลายนัด โดยในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนทั้ง 2 ชนิดกว่า 10 ปลอกตกเกลื่อนบนถนน เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
สอบสวนก่อนเกิดเหตุทราบว่า ขณะที่ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อซูซูกิ ทะเบียนป้ายแดง ออกมาจากบ้านพักเพื่อเดินทางไปเข้าเวร ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองปัตตานี ปรากฏว่าเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุมีคนร้าย 4 คน ใช้รถจักรยานยนต์จำนวน 2 คันเป็นพาหนะขับตามประกบ เมื่อสบโอกาสจึงใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 กราดยิงทันทีจนรถเสียหลักล้ม จากนั้นคนร้ายจึงได้ลงจากรถหยิบอาวุธปืนอาก้าประจำกายของผู้ตายยิงซ้ำอีก หลายนัดจนเสียชีวิต และก่อนจะหลบหนียังได้ขโมยอาวุธปืนพกสั้นขนาด .38 และอาก้า รวม 2 กระบอกของผู้ตายหลบหนีไปด้วย
       ส่วนสาเหตุ เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นฝีมือแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบ โดยติดตามความเคลื่อนไหวของผู้ตายมาตลอด เมื่อสบโอกาสจึงก่อเหตุหมายสังหารเจ้าหน้าที่พร้อมขโมยอาวุธปืน เพื่อนำไปก่อเหตุสร้างสถานการณ์ไม่สงบ


ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

ผลประโยชน์ “ไทยพรีเมียร์ลีก” เมื่อตอเริ่มผุด

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลไทยก็ว่าได้ ที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ถูกตรวจสอบ-ซักฟอก อย่างเข้มข้น จากผู้เป็นสมาชิก ในเรื่องการดำเนินงานที่คลุมเครือ ไม่โปร่งใส โดยเฉพาะเรีองผลประโยชน์ เงินๆ ทองๆ เมื่อ นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร ปราสาทสายฟ้า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตั้งคำถามกับ บริษัทไทยพรีเมียร์ ลีก ผู้จัดการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย ไทยพรีเมียร์ลีก และไทยลีก ดิวิชัน 1
       นายเนวินถามว่า รายได้จากการขายลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขัน รายได้จากสปอนเซอร์ รวมกันประมาณ 200 ล้านบาท หายไปไหน ทำไมบริษัทไทย พรีเมียร์ลีก จึงไม่มีเงินมาจ่ายรางวัลให้กับสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
       บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก ซึ่งควรจะต้องเป็นผู้ตอบคำถามนี้ เพราะเป็นเจ้าของสิทธิในการจัดการแข่งขัน ตอบไม่ได้ นายวิชิต แย้มบุญเรือง ประธานกรรมการบริษัทไทยพรีเมียร์ลีกเอง ก็ตอบไม่ได้
       ในยุคที่สื่อโซเชียลมีเดีย มีบทบาทในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารได้กว้างขวางกว่า เข้าถึงมากกว่า รวดเร็วกว่า และตรงไปตรงมามากกว่า สื่อหนังสือพิมพ์ และทีวี วิทยุ อำนาจการควบคุมสื่อของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ที่ใช้การจ่ายผลประโยชน์ต่างตอบแทนเป็นเครื่องมือ ไม่สามารถแทรกแซง ปิดกั้น การเดินทางของข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์ได้ ภาพและเสียงของนายเนวิน ที่ถามว่าเงินหายไปไหนในการประชุมร่วมกันของสโมสรสมาชิกไทยพรีเมียร์ลีก เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ถูกโพสต์ลงในเว็บไซต์ยูทิวบ์ จึงแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว และทำให้นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ไม่อาจนิ่งเฉย โดยหวังว่าเมื่อสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ปิดปากตัวเองแล้ว เรื่องจะเงียบไปเองได้
       บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต จำกัด (มหาชน) ผู้รับสิทธิ การดูแลผลประโยชน์ ไทยพรีเมียร์ ลีก ต้องเป็นผู้แถลงข่าว ชี้แจงแทนบริษัท ไทยพรีเมียร์ ลีก และสมาคมฟุตบอล ทั้งๆ ที่โดยหลักการแล้ว เป็นเรื่องระหว่างสมาชิกสโมสร กับบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก นายเนวิน ถามบริษัทไทยพรีเมียร์ลีกว่า เงินหายไปไหนในกรณีนี้สยามสปอร์ตฯ เป็นบุคคลที่ 3 หน้าที่การชี้แจง ควรเป็นหน้าที่ของบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก หรือสมาคมฟุตบอลมากกว่า แต่ไทยพรีเมียร์ลีก หรือสมาคมฟุตบอลตอบไม่ได้ เพราะเงิน 200 ล้านบาทนั้น ไม่ได้เข้ามาที่บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก หรือสมาคมฟุตบอลเลย แต่อยู่กับสยามสปอร์ตฯ นั่นเอง
       ด้วยเหตุนี้กระมัง เมื่อเรื่องนี้ ทำท่าว่านายวรวีร์จะเอาไม่อยู่ สยามสปอร์ตฯ จึงใช้วิธีสละเรือทิ้งกลางคัน ประกาศถอนตัวออกจากการเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ ไทยพรีเมียร์ ลีก โดยใช้น้ำเสียง ท่วงทำนองที่แสดงความน้อยอกน้อยใจว่า อุตส่าห์เสียสละ ตั้งอกตั้งใจพัฒนาฟุตบอลอาชีพ จากที่เคยล้มลุกคลุกคลาน จนประสบความสำเร็จได้ในทุกวันนี้ยังมาถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่โปร่งใสอีก จึงขอยุติการทำหน้าที่ดูแลสิทธิประโยชน์ การแข่งัขนฟุตบอลอาชีพดีกว่า
ความจริงแล้ว การปลุกปั้นไทยลีก และลีกอาชีพอื่นๆ ของสยามสปอร์ตฯ นั้น ไม่ใช่ความเสียลสะให้กับวงการฟุตบอลไทย แต่เป็นการลงทุน โดยหวังผลประโยชน์ทั้งที่เป็นผลประโยชน์ทางตรง จากการจัดการแข่งขัน และผลประโยชน์ทางอ้อมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจฟุตบอลของสยามสปอร์ตฯ ซึ่งเป็นธุรกิจขายเนื้อหา ทั้งผลการแข่งขัน และอัตราต่อรองได้เสีย รายใหญ่ที่สุดของประเทศ ที่เป็นคู่มือที่เยาวชน นักเรียน นักศึกษา ผู้มีรายได้น้อย ใช้ประกอบการตัดสินใจในการพนันบอล
การลงทุนสร้างฟุตบอลลีกอาชีพให้เกิดขึ้นในไทย คือ การสร้างโปรดักต์ใหม่ที่เมดอินไทยแลนด์ เพื่อขยายตลาดธุรกิจฟุตบอล ซึ่งมีผลประโยชน์มากมาย หลายหลากทั้งเปิดเผย และแฝงเร้น ตั้งแต่การขายข้อมูลสำหรับการพนัน การหารายได้จากสปอนเซอร์ ไปจนถึงโต๊ะพนันบอล
       งบกำไร ขาดทุนที่สยามสปอร์ตฯ จำเป็นต้องเล่นตามเกมที่นายเนวินเปิดขึ้นมา นำออกมาชี้แจงต่อ ที่ประชุม สโมสรสมาชิก เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมานั้น หากดูแต่เฉพาะ บรรทัดสุดท้าย ก็จะเห็นใจสยามสปอร์ตฯ ว่า รายได้จากการเป็นผู้ดูแลประโยชน์ การแข่งขันฟุตบอลอาชีพ น้อยมาก ไม่คุ้มการกับลงทุนลงแรงเลย เพราะมีกำไรแค่ 8 ล้าน 5 แสนบาทเท่านั้น ซึ่งต้องแบ่งครึ่งระหว่างสยามสปอร์ตฯ กับบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก แต่ถ้าไปดูรายจ่ายบางรายการ ก็จะพบว่ามีรายได้แอบแฝงอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าเข้ากระเป๋าใคร เช่น ค่ามาร์เกตติ้ง ในการหาสปอนเซอร์ 25 ล้านบาท ค่าถ่ายทอดทางช่อง 11 เป็นเงิน 26 ล้านบาท ค่าถ่ายทอดสด ลีกดิวิชัน 1 ทางทรูช่อง 69 เป็นเงิน 12 ล้านบาท ค่าถ่ายทอดสดลีกดิวิชัน 2 ทางทรูช่อง 69 และ 74 เป็นเงิน 5.7 ล้านบาท
       การถ่ายทอดสดทางช่อง 69 และ 74 ของทรูนั้น มีโฆษณา แต่ในงบกำไรขาดทุนที่สยามสปอร์ตฯ ชี้แจงนั้น ไม่มีรายรับรายการนี้ มีแต่รายจ่ายคือ ค่าถ่ายทอดสด จึงน่าสงสัยว่าเงินค่าโฆษณานี้ไปอยู่กับใคร
       ในที่ประชุม เมื่อวันที่ 20 เมษายน คำถามหนึ่งที่นายเนวิน ถามนายวรวีร์คือ ระหว่างสยามสปอร์ตฯ กับบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก มีสัญญาแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์หรือไม่ ซึ่งนายวรวีร์ตอบว่ามีนายเนวินถามว่าจะขอดูได้ไหม นายวรวีร์ตอบว่าต้องทำหนังสือขอเป็นทางการมา
       เพราะการที่สยามสปอร์ตฯ ประกาศถอนตัวอย่างฉับพลัน เป็นเรื่องผิดปกติ เนื่องจากการทำสัญญาแบบนี้ จะต้องมีเงื่อนไขในการบอกเลิกสัญญา มีข้อกำหนดความรับผิดชอบของคู่สัญญา กรณีเลิกสัญญาก่อนกำหนด แต่การที่สยามสปอร์ตสามารถเลิกสัญญาได้ในทันที โดยไม่ต้องคำนึงถึง ข้อผูกพันที่มีกับสปอนเซอร์ ทำให้นายเนวิน คิดว่า สยามสปอร์ตฯ กับไทยพรีเมียร์ลีก อาจจะไม่มีสัญญาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้
นายเนวินจะมีวัตถุประสงค์อย่างไร ในการตรวจสอบบริษัไทยพรีเมียร์ลีกในครั้งนี้ก็ตามแต่ แต่คำถามของเขาที่นายวรวีร์ และนายวิชิตตอบไม่ได้ ต้องให้สยามสปอร์ตฯ ตอบแทนนั้น ยิ่งตอบ ก็ยิ่งทำให้เห็นภาพความไม่โปร่งใสในธุรกิจกีฬาฟุตบอลอาชีพชัดเจนขึ้น

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

ภารกิจลับในพม่า อังกฤษค้นหาฝูงบิน "สปิตไฟร์" ฝังไว้นาน 67 ปี

สปิตไฟร์ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเครื่องบินของพลเรือน บินเหนือกลูเชสเตอร์เชียร์ในเทศอังกฤษ ในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บริษัทซูเปอร์มารีนในเซาแธมป์ตัน ผลิตเครื่องบินชนิดนี้ออกมาราว 40 รุ่น กว่า 20,000 ลำและเป็นกำลังหลักสำคัญในการปกป้องประเทศให้พ้นจากการยึดครองของนาซี เยอรมัน เกษตรกรชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งสืบเสาะอย่างลับๆ มานาน 15 ปี ค้นหาสปิตไฟร์ 20 ลำ ที่ถูกฝังเอาไวในพม่าตั้งแต่สงครามยุติลงและหาทางขุดขึ้นมาเพื่อนำกลับไปทำ ให้ใช้ได้อีก ปัจจุบันมีสปิตไฟร์ที่ยังบินได้เพียง 30 ลำเท่านั้น.-- ภาพ: Wikipedia.

ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- เกษตรกรอังกฤษคนหนึ่งใช้เวลาตลอด 15 ปีที่ผ่านมาค้นหาเครื่องบินรบฝูงหนึ่งที่ถูกฝังเอาไว้ในพม่าตั้งแต่สงคราม โลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงและกำลังเข้าใกล้เป้าหมายไปทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายเดวิด คาเมรอน ไปเยือนพม่าอย่างเป็นทางการ ในสัปดาห์แห่งเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ซึ่งมีการหยิกเรื่องนี้ขึ้นมาหารือ
       ทุกฝ่ายได้แต่หวังว่า ประธนาธิบดีเต็งเส่งของพม่าจะอนุญาตให้ขุดเครื่องบินทั้งหมดขึ้นมาได้และนำ กลับไปยังเกาะอังกฤษบ้านเกิด เพื่อฟื้นชีพให้ขึ้นบินได้อีกครั้งหนึ่ง
       นายเดวิด คัลดอล (David Culdall) วัย 62 ปี จากลินคอล์นเชียร์ใช้เงินไปราว 200,000 ดอลลาร์ เดินทางเข้าออกพม่ามาแล้ว 12 ครั้ง นับตั้งแต่ได้รับทราบข่าวคราว เกี่ยวกับเรื่องฝูงบินสปิตไฟร์ (Spitfire) จำนวน 20 ลำ จากนายจิม เพียร์ซ (Jim Pierce) เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นนักโบราณคดีด้านการบิน ที่ไปได้ยินเรื่องนี้จากทหารผ่านศึกชาวอเมริกันมาอีกทอดหนึ่ง
       นายคัลดอล พยายามอย่างยิ่งในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับระบอบทหารในพม่า เพื่อให้เจ้าหน้าที่เชื่อถือและไว้วางใจ และ เรื่องนี้เป็นความลับมาข้ามทศวรรษ จนถูกเปิดเผยออกมาในช่วงที่นายกฯ อังกฤษไปเยือน ทั้งนี้เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์เดลีเทเลกราฟ ในกรุงลอนดอน
       นายคัลดอลเปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ว่า เขาเริ่มต้นโดยลงประกาศแจ้งความในหนังสือพิมพ์และนิตยสารในพม่า เพื่อหาอดีตทหารสักคนที่ทราบข่าวคราวเกี่ยวกับแหล่งที่ฝังเครื่องบินเอาไว้
       "แต่ความยุ่งยากก็คือ พวกเขาจำนวนมากกำลังสิ้นชีวิตลงเพราะความชรา" ถึงกระนั้น ความพยายามก็ประสบความสำเร็จในที่สุด ด้วยความร่วมมือช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ทางการ ปัจจุบันเขายังปกปิดแหล่งที่พบเครื่องบินเป็นความลับ
       "เราเจาะส่งท่อลงไปเบื้องล่างสำรวจดูลังบรรจุ ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพดี" นายคัลดอลกล่าว
       ตามข้อมูลที่ทราบมาก่อนหน้านี้ ในเดือน ส.ค. 2488 หรือเมื่อ 67 ปีก่อน กองทัพอังกฤษใช้เรือบรรทุกเครื่องบินสปิตไฟร์ (Spitfire) เพื่อไปประจำการในพม่า โดยแต่ละลำถูกแยกออกเป็นชิ้น ชิ้นส่วนต่างๆ ห่อหุ้มด้วยกระดาษชุบขี้ผึ้งกันน้ำกันสนิม ข้อต่อต่างๆ หล่อลื่นด้วยจาระบีและบรรจุในลังเหล็ก
       แต่เมื่อเครื่องบินไปถึงพม่าสงครามได้สงบลงแล้ว จึงไม่เคยได้นำออกมาใช้ และเมื่ออังกฤษจะต้องถอนตัวออกไป ทำให้จะต้องฝังเครื่องบินเหล่านั้นไม่ให้ตกถึงมือฝ่ายตรงข้าม

ปก ภาพยนตร์ดีวีดีเรื่อง "สงครามอินทรีเหล็ก" หรือ Battle of Britain ที่ออกฉายในปี 2512 นักวิจารณ์ยกย่องเป็นภาพยนตร์สงครามเวหาดีที่สุดเรื่องหนึ่ง เชิดชูวีรกรรมของฝูงสปิตไฟร์กับฝูงบินเฮอริเคนโดยเฉพาะ สร้างได้สมจริงราวกับเหตุการณ์เพิ่งจะผ่านไปเมื่อวันวาน ปัจจุบันมีเวอร์ชั่นที่เป็นแผ่นบลูเรย์ออกมาให้ชมอีกด้วย.

ปก หนังสือ "สงครามเกาะอังกฤษ" (Battle of Britain) เขียนโดย เจมส์ ฮอลแลนด์ โดยสำนักพิมพ์แม็คมิลแลน ยังเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่ขายดีตลอดกาล และเป็นที่มาของภาพยนตร์ชื่อเดียวกัน เพื่อเชิดชูวีรกรรมของเหล่าเสืออากาศกับฝูงบินสปิตไฟร์ และฝูงบินเฮอริเคนของพวกเขา.

       นายคัลดอลกล่าวว่า สปิตไฟร์ 12 เครื่องถูกฝังก่อน อีก 8 เครื่องฝังในเดือน ธ.ค.2488 การสำรวจโดยใช้เครื่องสแกนบนพื้นพบว่า ลำตัวกับปีกของแต่ละลำบรรจุในลังเหล็กและฝังไว้ด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ
       ตัวเขาเองกับเพื่อนๆ ในอังกฤษพยายามอย่างยิ่งที่จะนำสปิตไฟร์ทั้งหมดกลับสู่ถิ่นเดิมของมัน และทำให้ขึ้นบินได้อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ติดปัญหาทางการเมือง การคว่ำบาตรพม่าทำให้ไม่สามารถเคลื่อน "อาวุธ" เข้าออกประเทศนี้ได้
       ระหว่างนายกฯ คาเมรอนไปเยือน ฝ่ายอังกฤษได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือกับประธานาธิบดีเต็งเส่ง และสถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป อังกฤษกำลังจะเริ่มผ่อนคลายการคว่ำบาตรในวันที่ 23 เม.ย.นี้ ทำให้ความหวังเรื่องรองขึ้นมาว่า
       เครื่องบินขับไล่สปิตไฟร์ เป็นกำลังสำคัญในการป้องกันเกาะอังกฤษให้พ้นจากการถูกยึดครองโดยนาซีในช่วง ที่เรียกว่า "สงครามเกาะอังกฤษ" (The Battle of Britain) ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่เดือนระหว่างวันที่ 10 ก.ค.- 31 ต.ค.2483 ซึ่งนาซียึดครองภาคพื้นยุโรปและพยายามยึดเกาะอังกฤษให้ได้เป็นเป้าหมายต่อไป
       สปิตไฟร์ยังคงเป็นเจ้าเวหามานานอีกหลายปีต่อมาหลังสงครามโลกยุติลง แต่เมื่อเครื่องยนต์เจ็ตเริ่มเข้ามีบทบาท สปิตไฟร์จึงลดความสำคัญลงเรื่อยๆ และกลายสภาพเป็นเพียงเครื่องบินฝึก จากที่เคยผลิตออกมามีที่นั่งเดียว ก็กลายเป็นสองที่นั่ง
       สปิตไฟร์ออกแบบโดยอาร์ เจ มิตเชล (Reginald Joseph Mitchell) และผลิตโดยบริษัทซูเปอร์มารีน เครื่องแรกขึ้นบินในวันที่ 5 มี.ค.2479 ฝูงแรก และรุ่นมาร์ค 1 (MK1) เข้าประจำการกองทัพอากาศสหราชอาณาจักรในเดือน ส.ค.2482
       ในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการผลิตสปิตไฟร์ออกมานับหมื่นลำ กระจายออกไปประจำการในกองกำลังทางอากาศของฝ่ายพันธมิตรหลายประเทศ

ตำนานที่บินได้

เหลือเพียง 30 ลำเท่านั้น

ปัจจุบัน มีสปิตไฟร์ที่ยังบินได้เหลืออยู่เพียง 30 ลำเท่านั้น หากขุดฝูงบินที่ถูกฝังในพม่ามานาน 67 ปี และนำกลับไปทำให้บินได้อีกครั้งย่อมเป็นความภาคภูมิใจของชาวอังกฤษนับล้านๆ คน ที่รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณสปิตไฟร์มาชั่วชีวิต.-- ภาพ: Ken Robertson.

       ตามประวัติอย่างเป็นทางการ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ก็ยังมีการผลิตสปิตไฟร์ต่อมาอีกหลายปีรวมเป็นประมาณ 40 รุ่น เป็นจำนวนทั้งสิ้น 20,351 ลำ ลำสุดท้ายถูกส่งไปประจำการในกองทัพอากาศฮ่องกงเมื่อวันที่ 20 ก.พ. ปีเดียวกัน
       สปิตไฟร์ 20 ลำที่ส่งไปพม่าเป็นรุ่นมาร์คโฟร์ (MK4) ใช้เครื่องยนต์โรลสรอยซ์ แทนเครื่องยนต์มาร์ลินในรุ่นก่อนๆ และ ประสิทธิภาพสูงกว่า
       หน้าที่หลักของสปิตไฟร์ในช่วงเดือนแห่งวิกฤตคือ โจมตีทำลายเครื่องบินทิ้งระเบิดของนาซี ซึ่งจะต้องต่อกรกับแมสเซอร์ชมิต (Messerschmitt) ที่ทำหน้าที่คุ้มกันและนำทาง
       นี่คือเครื่องบินรบที่ผลิตออกมาใช้งานมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีความโดดเด่นในการออกแบบและติดเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูง มีความเร็วเหนือกว่าแมสเซอร์ชมิต ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่ประสิทธิภาพสูงที่สุดของฝ่ายนาซี
       ความเร็วที่เหนือกว่าทำให้ได้เปรียบในการหลบหลีกและการเข้าจู่โจม พันตู ซึ่งทำให้สปิตไฟร์เป็นเจ้าเวหาเหนือช่องแคบอังกฤษในที่สุด
       ปัจจุบันทั่วโลกมีสปิตไฟร์ที่ยังขึ้นบินได้เพียง 30 ลำเท่านั้น ถ้าหากการขุดค้นและฟื้นฟูฝูงบินมาร์คโฟร์ในพม่าประสบความสำเร็จ เป็นความภาคภูมิใจของชาวอังกฤษนับล้านๆ ที่รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณสปิตไฟร์มาชั่วอายุ.

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

“นาดาล” คว่ำโนเลแชมป์มอนติฯ 8 สมัยติด

       ราฟาเอล นาดาล แร็กเกตกล้ามโตชาวสแปนิช ผงาดคว้าแชมป์รายการ "มอนติ - คาร์โล มาสเตอร์ส" เป็นสมัยที่ 8 ติดต่อกัน หลังหวดเอาชนะ โนวัค ยอโควิช มือ 1 ของโลกชาวเซิร์บ 2 เซตรวด ในรอบชิงชนะเลิศ วันนี้ (22 เม.ย.)
       ศึกเทนนิส เอทีพี ทัวร์ รายการ มอนติ-คาร์โล โรเล็กซ์ มาสเตอร์ส ชิงเงินรางวัลรวม 2.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 82 ล้านบาท) ที่เมืองมอนติ คาร์โล ประเทศโมนาโก เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน 2555 ที่ผ่านมา ในการแข่งขันประเภทชายเดี่ยว เป็นรอบชิงชนะเลิศ ระหว่าง โนวัค ยอโควิช มือ 1 ของโลกจากเซอร์เบีย กับ ราฟาเอล นาดาล มือ 2 ของโลกชาวสแปนิชและแชมป์เก่า 7 สมัย
       แม้ ยอโควิช เอาชนะ นาดาล จากการเจอกัน 7 ครั้งหลังสุด รวมถึงแมตช์ชิงชนะเลิศ ออสเตรเลียน โอเพน เมื่อช่วงต้นปี แต่วันนี้ "เอล มาทาดอร์" โชว์ฟอร์มสมฉายาราชาแห่งคอร์ตดินหวดเอาชนะไป 2-0 เซต 6-3, 6-1 คว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 8 ติดต่อกัน แต่เป็นแชมป์แรกของ นาดาล นับแต่เฟรนช์ โอเพน เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว
       "มอนติ คาร์โล มาสเตอร์ส เป็นทัวร์นาเมนต์ที่ผมชอบที่สุดในโลก" นักหวดวัย 25 ปีเปิดเผยหลังชัยชนะ "ตั้งแต่เด็กๆแล้วผมฝันที่จะมาเล่นที่นี่ มันเป็นทัวร์นาเมนต์ที่มีประวัติศาสตร์ซึ่งบรรดานักเทนนิสไอดอลของคุณเคย เล่นที่นี่ การจะคว้าแชมป์ 8 สมัย คุณต้องโชคดี ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่มีปัญหาบาดเจ็บและทุกอย่างสมบูรณ์แบบตลอดทั้ง 8 ปีนั้น นอกจากนี้ยังต้องเล่นให้สมบูรณ์แบบด้วย"
       "ผมเคยแพ้ โนวัค มา 7 ครั้ง ดังนั้นการแพ้อีกเป็นแมตช์ที่ 8 ก็คงไม่แตกต่างเท่าไร อย่างไรก็ตามชัยชนะครั้งนี้ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างมาก หวังว่าผมจะไม่ประสบปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บและไปแข่งขันที่บาร์เซโลนา (ในสัปดาห์หน้า) พร้อมกับทำผลงานได้ดี" นาดาล กล่าวทิ้งท้าย
       ขณะที่ ยอโควิช ยอมรับว่าข่าวร้ายเรื่องที่คุณปู่เสียชีวิตส่งผลต่อสภาพจิตใจของตน รวมถึงสภาพร่างกายก็ล้าจากแมตช์รอบที่ผ่านๆมาซึ่งต้องเล่น 3 เซต "ผมแทบไม่เหลือพลังเลย ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ผมเล่นพอใช้ แต่วันนี้แย่มาก ถ้าหากผมต้องการชนะ ราฟา บนคอร์ตดินก็ต้องมีเกียร์พิเศษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายไปในวันนี้"