“เอาไม่อยู่” สื่อนอกตีข่าว “รบ.ปู” ล้มเหลวอีกป้องกันน้ำท่วม ส่งผลพื้นที่ 1 ใน 4 ของไทย “จมบาดาล”

       รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์- สื่อต่างประเทศรายงาน รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการป้องกันน้ำท่วมอย่างทันท่วงทีในปีนี้ ทั้งที่รัฐบาลชุดนี้เคยมีประสบการณ์จากมหาอุทกภัยครั้งเลวร้ายเมื่อปีก่อน ส่งผลให้ในเวลานี้ พื้นที่กว่า “1 ใน 4” ของประเทศไทย มีอันต้องจมอยู่ใต้น้ำ ไม่เว้นแม้แต่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่เต็มไปด้วยโบราณสถานล้ำค่าอย่าง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขณะที่คนไทยอีกหลายล้านชีวิตได้รับผลกระทบซ้ำเติม ทั้งที่ยังไม่ทันได้ฟื้นตัวจากความเสียหายของอุทกภัยครั้งก่อน
        รายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ และสื่อต่างประเทศอีกหลายสำนักระบุว่า สังคมไทยกำลังวิตกกังวลกับความล้มเหลวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในการป้องกันน้ำท่วมในปีนี้ ซึ่งคร่าชีวิตประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 4 รายขณะที่ประชาชนอีกหลายพันคนทางภาคเหนือของไทยต้องทิ้งบ้านเรือนของตนเพื่อ เอาชีวิตรอด หลังฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องทำให้น้ำในแม่น้ำหลายสายเอ่อล้นเข้าท่วมบ้าน เรือนตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ระดับน้ำในบางจังหวัดของไทยสูงกว่า 1 เมตร
        สื่อต่างประเทศระบุว่า ภาพที่ชาวบ้านต้องเดินลุยน้ำท่วมซึ่งสูงถึงระดับเอว และภาพของการกั้นกระสอบทรายรอบร้านค้าและบ้านเรือนในจังหวัดสุโขทัย หนึ่งในเมืองหลวงเก่าของไทย ที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เมืองหลวงปัจจุบันไปทางเหนือราว 430 กิโลเมตร ทำให้หลายคนหวนนึกถึง “ฝันร้าย” จากเหตุน้ำท่วมใหญ่เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไปมากกว่า 800 ศพ และฉุดรั้งให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2011 ที่ผ่านมาอยู่แค่ 0.1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
        “รอยเตอร์” สำนักข่าวระดับโลกซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และก่อตั้งมาตั้งแต่ ค.ศ. 1851 ชี้ว่า แม้อุทกภัยที่เกิดขึ้นล่าสุดในไทยดูจะไม่รุนแรงเหมือนเมื่อปีที่แล้ว แต่ภัยพิบัติครั้งใหม่อาจส่งผลร้ายกับรัฐบาลชุดปัจจุบันของไทยภายใต้การนำ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพรรค “เพื่อไทย” ที่ถูกโจมตีอย่างหนักจากสังคมไทยจาก “การบริหารจัดการที่ผิดพลาด” ต่อวิกฤตอุทกภัยในปี 2011
        ด้าน “ เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล” หนังสือพิมพ์รายวันยักษ์ใหญ่ ซึ่งมีฐานอยูที่มหานครนิวยอร์กของสหรัฐฯ และมียอดจำหน่ายถึงวันละกว่า 2.1 ล้านฉบับ ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุน้ำท่วมที่เกิดขึ้นอีกในปีนี้จนหลายพื้นที่ของไทยต้องจมอยู่ใต้น้ำภายใน ระยะเวลาอันรวดเร็วนั้น ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า มาตรการป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะในเขตที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ จะสามารถต้านทานกระแสน้ำในปีนี้ได้หรือไม่ ทั้งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ ทุ่มงบประมาณของประเทศไปกว่า 11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 3.4 แสนล้านบาท) เพื่อวางแผนรับมือน้ำท่วมในปีนี้ หวังสร้างความเชื่อมั่นให้คนไทยและนักลงทุนต่างชาติ ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลไทยยังมิอาจตอบคำถามสังคมได้ว่า “เพราะเหตุใดน้ำจึงท่วมอีก? ” ทั้งที่เป็นที่ทราบกันดีว่า ปริมาณฝนในปีนี้น้อยกว่าปีที่แล้วถึง 20 เปอร์เซ็นต์
        สื่อสิ่งพิมพ์ชื่อดังของสหรัฐฯฉบับนี้ยังชี้ว่า น้ำท่วมที่จังหวัดสุโขทัย แสดงให้เห็นถึงปัญหาใหญ่ในแผนบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มัวแต่ ให้ความสำคัญกับระดับน้ำในเขื่อนภูมิพลที่จังหวัดตาก และที่เขื่อนสิริกิต์ในจังหวัดอุตรดิตถ์ แต่กลับมองข้ามการรับมือกับน้ำฝนปริมาณมากที่ตกลงมาอย่างหนักในพื้นที่ “ใต้” เขื่อนใหญ่ทั้งสอง ขณะเดียวกัน อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปีนี้ยังแสดงให้เห็นความขัดแย้งที่เด่นชัดในเรื่องของ การบริหารจัดการน้ำระหว่างรัฐบาลไทย กับคณะผู้บริหารของกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของไทยที่เป็นบ้านของประชากรไม่ต่ำกว่า 8.3 ล้านคน ที่ดูเหมือนว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะมีจุดยืนในการรับมือกับน้ำท่วมที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

“สรรพากร” เปิดโปง “10 กลวิธี” โกงภาษี! “พลอย” แค่จิ๊บๆ-ผู้รับเหมาคราบนักการเมืองแสบสุด

สรรพากรสรุป 10 วิธีที่บรรดาคนรวย-นักธุรกิจ-นักการเมือง ใช้ในการเลี่ยงภาษี ยิ่งกว่า ‘ดารา’ ชี้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีนักการเมืองเป็นเจ้าของ “ซิกแซ็ก” หลายรูปแบบ แถมยกระดับคนงานเป็นผู้รับเหมาช่วงเพื่อหลบภาษีได้ง่ายๆ ส่วนกลุ่มอสังหาฯ ก็งัดวิชามารเลี่ยงภาษีกันเห็นๆ ขณะที่บริษัทส่วนใหญ่เลือกแต่งบัญชีเท็จเพื่อให้เจ้าของและหุ้นส่วนรวยทั่ว หน้า สรรพากรบ่นใช้กฎหมายเล่นงานพวกโกงภาษีไม่ได้เพราะถูกนักการเมืองบีบ ‘พวกข้าใครห้ามแตะ’
       กรณี พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ ที่มีความขัดแย้งกับบริษัทออร์แกไนซ์ จนเป็นที่มาของการเปิดโปงให้สาธารณชนได้รับรู้ว่า เธอใช้บัตรประชาชนของพ่อคนขับรถเธอเอง มารับเงินแทนเพื่อจะได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 3 ของเงินที่ได้รับ แทนที่จะถูกหักร้อยละ 5 ตามกฎหมาย
       นี่คือเหตุผลสำคัญที่กระทรวงการคลังมอบหมายให้กรมสรรพากร เตรียมเปิดเวทีเชิญดารานักแสดง พิธีกร นักกีฬาที่เป็นบุคคลสาธารณะ มารับฟังแนวทางการเสียภาษีอย่างถูกต้อง เพื่อเป็นต้นแบบที่ดีแก่ประชาชนทั่วไปในการเสียภาษีต่อไป
       อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวจากกรมสรรพากร ระบุว่า การเลี่ยงภาษีที่เกิดขั้นนั้นไม่ใช่มีเฉพาะอาชีพดารา หรือกรณีข่าวของ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร (ดามาพงศ์-ชินวัตร) อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันเลี่ยงภาษีอากร มูลค่า 546 ล้านบาทเท่านั้น
       แต่ข้อเท็จจริงแล้ว มีบุคคลที่มีรายได้สูงจำนวนมาก โดยเฉพาะบรรดานักธุรกิจการเมือง หรือนักการเมืองที่มีอิทธิพลต่างๆ ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด ล้วนแต่หาช่องทางที่จะเลี่ยงภาษีเพื่อให้เขาและบริษัทของเขาจ่ายภาษีน้อยที่ สุดเท่าที่กฎหมายเปิดช่องไว้
       “มันเป็นการวางแผนภาษีเพื่อให้จ่ายน้อยที่สุด ซึ่งจะทำอย่างนี้ได้ต้องมีคนชี้แนะ ตั้งแต่นักบัญชี บริษัทที่ปรึกษาทางบัญชี และเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรร่วมกันดำเนินการให้”

       สำหรับกลวิธีในการเลี่ยงภาษีที่นิยมกระทำกันตลอดมาทั้งในส่วนของการ เสียภาษีบุคคลและในรูปนิติบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสรรพากร ได้สรุปให้ “ASTV ผู้จัดการรายวัน” ฟัง ประกอบด้วย
1. การตั้งตัวแทนเชิด คือ การตั้งบุคคลอื่นหรือบริษัทเป็นผู้มีรายได้และเสียภาษีแทนตน ซึ่งมีผลให้ตัวเองเสียภาษีน้อย หรือหากมีปัญหาฟ้องร้องทางกฎหมายก็จะยากขึ้น กรณีเช่นนี้ก็เหมือนกับที่พลอย เฌอมาลย์ ให้คุณลุงวัย 77 ปี รับเงินแทนเพื่อประหยัดภาษีนั่นเอง
สำหรับวิธีการตั้งตัวแทนเชิดนั้น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งส่วนใหญ่บรรดานักการเมืองทั้งระดับชาติ และระดับท้องถิ่น ล้วนเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งคนกลุ่มนี้กรมสรรพากรอยากจะบอกว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่เลี่ยงภาษีมากใน อันดับต้นๆ
โดยเฉพาะบริษัทรับเหมาก่อสร้างราย ใหญ่ จะใช้วิธีหารายชื่อคนงานแล้วให้คนงานของตนเองเป็นผู้รับเหมารายย่อย โดยเงื่อนไขสำคัญของคนที่จะถูกเชิดให้เป็นผู้รับเหมารายย่อยนั้นต้องไม่ให้ มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท เพื่อเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
       “จุดประสงค์ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้เขาประหยัดภาษีมากขึ้น ซึ่งความจริงเงินจำนวนที่ถูกถ่ายออกไปก็เข้ากระเป๋าพวกเขากันเอง”
       นอกจากบรรดาบริษัทรับเหมาก่อสร้างจะนิยมใช้วิธีการดังกล่าวแล้ว กรมสรรพากรยังพบว่าบรรดากิจการขนส่งสินค้าก็นิยมกระทำเช่นกัน ด้วยการเอาชื่อลูกน้องในการรับส่งสินค้าแทน เพื่อหลีกเลี่ยงรายได้แท้จริงของตนเอง

2. การตั้งคณะบุคคล เป็นการก่อตั้งคณะบุคคลหลายๆ คณะ จุดประสงค์เพื่อแตกฐานเงินได้ให้เล็กลง โดยมีชื่อตนเองในทุกคณะ ทำให้เสียภาษีน้อยลง และยังสามารถหักค่าใช้จ่ายในแต่ละคณะได้อีก
       “พวกที่มีอาชีพอิสระ ที่ปรึกษา ศิลปินดารา หรือพวกที่มีรายได้สูงๆ นิยมทำมาก อย่างดาราที่เป็นข่าวโด่งดังก็ ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต ที่ใช้วิธีการนี้เลี่ยงภาษี ซึ่งชมพู่บอกว่าที่ทำแบบนี้เพราะไม่รู้และได้รับคำแนะนำจากเพื่อนๆ ยืนยันว่าต่อไปเธอจะไม่ใช้วิธีนี้ เพราะเท่ากับเป็นการโกงภาษีรัฐ” แหล่งข่าวกรมสรรพากร ระบุ
3. ทำให้บริษัทขาดทุน วิธีการนี้เป็นที่นิยมทำกันแพร่หลายในทุกๆ ประเภทกิจการ โดยเฉพาะบริษัทรับเหมาก่อสร้าง จะใช้วิธีการสร้างรายจ่าย หรือบิลรายจ่ายมาเบิกบริษัทให้มากที่สุด เมื่อถึงปลายปีก็จะพบว่าบริษัทขาดทุนและไม่สามารถเสียภาษีได้ ส่วนที่มีการหัก ณ ที่จ่ายไปแล้ว ก็มีโอกาสจะได้คืน เนื่องจากบริษัทไม่มีกำไรและยังขาดทุน
       ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้เข้าไปตรวจสอบและพบว่าบริษัทเหล่านี้มีการกระทำอีกหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น ให้บริษัทกู้ยืมเงินจากกรรมการบริษัทของตนเองเพื่อหลบยอดรายได้หรือยอดขาย และเพิ่มค่าใช้จ่ายในส่วนของดอกเบี้ยบริษัท
       “นักการเมืองบางคนใช้ชื่อบริษัทสั่งซื้อวัสดุก่อสร้าง แต่ปรากฏว่าเอาวัสดุที่ซื้อไปก่อสร้างบ้านตัวเองราคาหลายล้าน แต่กลับนำบิลมาเบิกเป็นรายจ่ายบริษัทแทน”
เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรเล่าอีกว่า ที่น่าตลกที่สุด บริษัทรับเหมาก่อสร้างทำถนน แต่กลับมีการสั่งซื้อ “สี” เป็นจำนวนมากมาหักภาษีซื้อ และยังมีการนำบิลรายจ่ายอื่นๆ ที่ใช้เป็นการส่วนตัว แล้วมีการแต่งตัวเลขให้สูงขึ้น จากนั้นนำมาตัดจ่ายในบัญชีของบริษัท

4. การหลบยอดขายและยอดซื้อ ซึ่ง หมายถึงบริษัทมีการแต่งบัญชีโดยให้ยอดขายเกิดขึ้นเท่าที่ต้องการจะเสียภาษี เช่นมียอดขายสินค้า 200 รายการ แต่มีการเปิดบิลหรือมียอดขายตามบิลแค่ 80 รายการ ซึ่งวิธีนี้บรรดาบริษัท ห้างหุ้นส่วน นิยมกระทำมาก
       “พวกนี้จะนิยมแต่งบัญชี คือเขาจะมีบัญชี 1 และบัญชี 2 ซึ่งเขาจะรู้ว่าบัญชีไหนไว้ใช้ยื่นเสียภาษี ซึ่งจริงๆ แล้วมันผิดกฎหมาย แต่โทษบ้านเราก็แค่ปรับ พวกนี้จึงไม่เกรงกลัว”
5. การซื้อใบกำกับภาษี ที่ นิยมกันก็คือการซื้อใบกำกับภาษีซื้อของผู้ประกอบการค้าน้ำมันมาเป็นยอดราย จ่ายของบริษัทตน ทั้งนี้เพราะผู้เติมน้ำมันรายย่อยมักไม่ขอใบกำกับภาษีอยู่แล้ว
       “ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมักขอซื้อใบกำกับภาษีดังกล่าวเพื่อนำไปขอคืนภาษีจากรัฐ เพื่อทำให้เสียภาษีน้อยลง”
6. การหลีกเลี่ยงโดยผ่านระบบบัญชี วิธี นี้นักบัญชีของบริษัทจะรู้กันกับเจ้าของกิจการ หุ้นส่วนบริษัท หรือบอร์ดบริษัท ที่ต้องการจะมีการประหยัดเงินและนำผลกำไรให้กับเจ้าของกิจการตัวจริงและหุ้น ส่วนมากที่สุด ก่อนที่จะนำบัญชีบริษัทส่งให้ผู้ตรวจสอบบัญชีรับรองอีกขั้นตอนหนึ่ง
       “วิธีการนี้เป็นการสร้างบัญชีเท็จ ด้วยการกำหนดรายจ่ายต่างๆ เข้ามาเบิกในบัญชีบริษัทหรือค่าที่ปรึกษา ค่าโบนัสให้กับกรรมการหรือพนักงาน แต่ข้อเท็จจริงแล้วไม่ได้มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพียงแต่เป็นการวางแผนทางภาษีเพื่อให้บริษัทเสียภาษีน้อย แต่เจ้าของกิจการได้กำไรมากๆ”

7. การตั้งบริษัทเพื่อเจตนาออกใบกำกับภาษีซื้อปลอม วิธีการนี้จะมีการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาหลายๆ แห่ง และมีการออกใบกำกับภาษีซื้อขายแก่กันเป็นทอดๆ โดยข้อเท็จจริงแล้วบริษัทไม่ได้มีการทำกิจการจริง แต่ใช้วิธีการโอนกลับไปกลับมาเท่านั้น
       “เขาเจตนาโกงภาษี ทำทีมีการส่งออกสินค้า และมีการปลอมใบสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ แล้วนำมาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม”
8. การซื้อบิลจริง แต่ไม่มีการกระทำจริง วิธีการดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยอาศัยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่างๆ มาเป็นเงื่อนไขในการจ่ายภาษี
       ตัวอย่างเช่น บริษัทผลิตสินค้ารายหนึ่ง ต้องการประหยัดภาษีรายได้ เนื่องจากบริษัทมีกำไรมาก จึงใช้วิธีการติดต่อขอซื้อใบเสร็จ โดยอ้างว่าเป็นค่าการตลาด (ประชาสัมพันธ์) ในสื่อต่างๆ ในวงเงิน 20 ล้านบาท ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วบริษัทนี้ไม่ได้มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์นี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว และบริษัทที่ทำโฆษณาก็ยอมออกใบเสร็จให้
“นี่เป็นวิธีการโกงภาษี ที่มีผู้ร่วมกระทำหลายคน คือบริษัทผลิตสินค้า และบริษัทผลิตสื่อโฆษณา เพราะวงเงิน 20 ล้านบาทที่บริษัทต้องการนำไปหักภาษีนั้น ข้อเท็จจริงเขาจ่ายให้บริษัทผลิตสื่อแค่ส่วนของการหักภาษีรายได้ 2% (ภาษีจ้างทำของ) และมีการตกลงส่วนต่างกันอีกประมาณ 10% เท่านั้น”
       ผลที่ตามมาก็คือบริษัทผลิตสินค้ารายนั้น ได้นำใบเสร็จ 20 ล้านบาทไปหักในรายได้บริษัท มีผลทำให้เขาประหยัดภาษีได้มาก ขณะเดียวกันเขาก็เสียเงินให้กับบริษัทผลิตสื่อแค่ประมาณ 2 ล้านที่ถือเป็นเงินใต้โต๊ะเท่านั้น

9. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เลี่ยงภาษีแบบเห็นๆ สำหรับ วิธีการของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หรือธุรกิจพัฒนาที่ดินที่นิยมเลี่ยงภาษีกัน มากส่วนใหญ่จะเป็นรายเล็ก รายกลาง และอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด จะกระทำโดยการแบ่งขายและประกาศขายที่ดินเปล่าเท่านั้น
       “หากสรรพากรไปตรวจบริษัทเหล่านี้จะอ้างว่า เขาขายเฉพาะที่ดินเปล่า และผู้ซื้อไปว่าจ้างปลูกบ้านกันเอง ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทเขา”
ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้ว เป็นการขายที่ดินพร้อมบ้าน แต่แบ่งแยกเป็น 2 สัญญา คือสัญญาซื้อขายที่ดิน กับสัญญาว่าจ้างปลูกบ้าน เพื่อเลี่ยงภาษีรายได้ในส่วนของการปลูกบ้านที่ไม่ต้องจ่ายให้กับรัฐ
10. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประเภทคอนโดมิเนียม ของ นักพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่ ที่ดำเนินการในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวหลายจังหวัด จะมีการประกาศขายห้องชุดเพียงบางส่วน และมีการเก็บห้องชุดอีกส่วนหนึ่งไว้เพื่อใช้ประกอบกิจการโรมแรม
       “บริษัทพวกนี้จะไม่ยอมแสดงรายได้ที่เกิดจากการให้บริการกิจการโรมแรม เพราะรายได้จำนวนนี้ความจริงแล้วต้องนำมาคำนวณ vat เขาก็หลบเลี่ยง ซึ่งสรรพากรก็ต้องไปติดตามเพื่อให้เขาเสียภาษีและมีรายได้เข้ารัฐ”
แหล่งข่าวอธิบายอีกว่า ปัญหาสำคัญที่สุดของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ก็คือ เมื่อไปตรวจพบการเลี่ยงภาษีและบริษัทเหล่านี้ไม่สามารถหาหลักฐานมาหักล้าง ได้ ผู้เลี่ยงภาษี หรือโกงภาษี ก็จะใช้อิทธิพลทางการเมืองเข้ามาบีบข้าราชการที่ปฏิบัติงานทันทีเช่นกัน
       “พวกเราเจอนักการเมืองบีบมาตลอด โดยเฉพาะพวกธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทั่วประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นของนักการเมือง ต้องบอกว่าพวกนี้มีประตูเลี่ยงภาษีเยอะที่สุด และชอบใช้อำนาจข่มขู่ข้าราชการเพื่อไม่ให้พวกเราสืบสาวที่มาที่ไปมาก เพราะรู้อยู่แล้วว่าบริษัทตัวเองโกงภาษี”
ถึงเวลาแล้วที่กรมสรรพากรจะ ต้องดำเนินการกับผู้ที่เลี่ยงภาษีทุกราย และจะต้องไม่กระทำเฉพาะกับศิลปินดารา แต่จะต้องดำเนินการเปิดโปง บริษัท นักธุรกิจ นักการเมืองทุกรายที่เลี่ยงภาษีให้สาธารณชนได้รับรู้ เพื่อไม่ให้บริษัท หรือบุคคลอื่นๆ เอาเป็นเยี่ยงอย่างต่อไป

ที่มา ผู้จัดการ Online

วิวาห์ร้อยล้าน 3 คู่คนดัง

       ต้องบอกว่าเป็นสัปดาห์แห่งความรักที่สุกงอมกันคงจะไม่ผิดนักสำหรับเสาร์และอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังมีคนในแวดวงบันเทิงถึงสามคู่ที่พากันจูงมือเข้าสู่ประตูวิวาห์ถึงสองวันติด ว่ากันว่าทั้ง 3 งานแต่งสุดอลังการ มีมูลค่าการจัดงานรวมทั้งสินสอดทองหมั้นนับร้อยล้านเลยทีเดียว
       
     

 "แอฟ-สงกรานต์" หวานกลางหุบเขา
       เริ่มต้นกันที่งานแต่งท่ามกลางธรรมชาติ ในวันอาทิตย์ที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ด้านเจ้าบ่าว “สงกรานต์ เตชะณรงค์” ก็ได้ถือเอาฤกษ์ดี เวลา 06.09 น. ยกขันหมากไปสู่ขอนักแสดงสาวสวย “แอฟ ทักษอร” โดยเป็นการจัดงานกันกลางแจ้งท่ามกลางหุบเขาที่สวยงามของเขาใหญ่ ที่ลานโบนันซ่า อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นที่ดินของฝ่ายชายนั่นเอง        
       
       ภายในงานมีเพื่อนดาราบางส่วนไปร่วมงานด้วย อาทิ ชาย ชาตโยดม พร้อมแฟนสาว วิกกี้ สุนิสา, เบนซ์ พรชิตา ฯ โดยในระหว่างที่เจ้าบ่าวซึ่งอยู่ในชุดเครื่องแบบข้าราชการสีขาวสะอาดตาได้ทำการสวมแหวนหมั้น ซึ่งเป็นแหวนประจำตระกูล "เตชะณรงค์" ให้กับนักแสดงสาวในชุดไทย เจ้าตัวถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาขณะที่ฝ่ายหญิงก็ได้สวมกอดว่าที่สามีตนเองด้วยความยินดี ส่วนเรื่องของมูลค่าสินสอดนั้นไม่ได้มีการเปิดเผยออกมาแต่อย่างใด         
       
       ทั้งนี้ หลังจากเสร็จพิธีหมั้นและรดน้ำสังข์ตามประเพณีก็จะมีการจัดเลี้ยงฉลองสมรสและจัดเลี้ยงแขกเหรื่อที่มาร่วมในงานซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัว ญาติๆ ตลอดจนเพื่อนสนิทของทั้งคู่ที่โรงแรมโบนันซ่า และหลังจากนั้น จึงจะจัดให้มีการเลี้ยงฉลองอีกครั้งที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2555...โดยว่ากันว่าในวันดังกล่าวจะเป็นงานช้างอย่างแน่นอน




       "วุ้นเส้น-ชาคริต" จะรักกันตลอดไป
       คู่หวานถัดมา เป็นคู่หนุ่มสาวนักแสดง "วุ้นเส้น วิริฒิภา" กับพระเอกหนุ่มชื่อดัง "ชาคริต แย้มนาม" ถือฤกษ์ในช่วงวันเสาร์ที่ 21 เมษายน 2555 งานจัดกันที่ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี โดยมีคนในแวดวงบันเทิงไปร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น หนิง นิรุตติ์ ศิริจรรยา, เจนี่ เทียนโพธิ์ สุวรรณ, นานา ไรบีน่า, พอลล่า เทเลอร์, แอน อลิชา ไล่ศัตรูไกล, เมย์ พิชญ์นาฏ สาขากร, แป้ง อรจิรา แหลมวิไล, เจนสุดา ปานโต, พิตต้า ณ พัทลุง, บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ, เจี๊ยบ เชิญยิ้ม, จุ๋ย วรัทยา นิลคูหา, เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์, หมิว ลลิตา ปัญโญภาส, เมย์ เฟื่องอารมย์, เป้ย ปานวาด เหมมณี ที่ควงคู่ว่าที่สามี ป๊อป เรือเอก นิธิ บุญยรัตกลิน มาเปิดตัวเป็นครั้งแรก 
                 
       บรรยากาศภายในงาน ถูกจัดตกแต่งภายใต้ธีม SECRET GARDEN โดยมีการประดับดาไปด้วยดอกไม้และแสงเทียนระยิบระยับ ส่วนของของชำร่วยนั้นเป็น COOK BOOK LOVE INGREDIENT และ DIARY NOTE CARD เพื่อบอกเล่าเรื่องราวการผสมผสานระหว่างความรัก ความเข้าใจ ความเอาใจใส่ เปรียบเสมือนการทำกับข้าวของชาคริต ทั้งนี้ หลังจากพิธีการต่างๆ เสร็จสิ้นลง คู่บ่าว-สาว ก็ได้จัด AFTER PARTY กับเพื่อนฝูงเป็นการฉลองวันแห่งความสุขแบบสมบูรณ์แบบ
       หลังจากนั้นทั้งสองก็พากันควงคู่ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงความรู้สึกในงานแต่งครั้งนี้ 
                 
       ชาคริต : “ตื่นเต้นมากครับ เมื่อคืนนอนไม่หลับ แล้วก็ทุกคน เพื่อนพี่มาด้วยใจ สนุกมาก มีความสุขมาก ตื่นเต้นแล้วก็รอเวลารับตัวเจ้าสาว ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี”
       วุ้นเส้น : “วุ้นตื่นเต้นเหมือนกัน ไม่ค่อยได้นอน นอนไม่หลับเลย ตอนแรกตื่นมากลัวไม่สวย แต่พี่คริตบอกว่าไม่ต้องห่วง สวยอยู่แล้ว มีความสุขมาก เมื่อเช้าเป็นพิธีสำคัญ มีสวมแหวน แล้วก็จดทะเบียน ความรู้สึกตอนจดก็คือวุ้นพร้อมแล้ว เราได้ใช้ชีวิตแต่งงานกลับใครสักคน เหมือนทำทุกอย่างตามหน้าที่ของภรรยา เราก็ต้องเปลี่ยนเป็นนาง เปลี่ยนนามสกุล รู้สึกว่าสมบูรณ์แล้ว สรุปใช้นามสกุลเป็นแย้มนาม แต่ว่ามีนามสกุลตัวเองเป็นชื่อกลาง”
       ชาคริต : “ก็รู้สึกดีใจ เพราะเขามาด้วยใจ ทุกอย่างเขาให้เราด้วยความรัก เขาให้เรามาก คงขออะไรมากกว่านี้ไม่ได้ อีก 3 วันก็จะครบรอบคบกัน 1 ปี” 
          
        คุณแม่อวยพรอะไรบ้าง?
       วุ้นเส้น : “วุ้นตอนแรกคิดไว้ก่อนเลยว่า คุณแม่มีความสุขมาก มีคนดูแล ส่วนที่เขาอวยพรอยากให้พรเป็นจริง ฝากฝังเรากับพี่คริตต่อ แฮปปี้มาก ไม่คิดว่าตัวเองจะได้มีโอกาสได้รดน้ำสังข์มีพิธีอะไรแบบนี้”
       ชาคริต : “รดน้ำคุณแม่ให้พร วุ้นก็น้ำตาไหล ทุกคนปลื้มด้วย เพื่อนที่ได้เห็นรูป แค่เห็นก็น้ำตาไหล ส่งแมสเสจมาบอก ทุกคนอยากให้เรามีความสุข แค่นี้ก็ดีใจแล้ว ทุกคนต่างดีใจที่เรามีวันนี้ เหมือนทุกคนลุ้นมาตลอด เมื่อไหร่เราสองคนจะมีความรักแบบนี้ เมื่อเช้าแม่พูดว่า ฝากดูแลด้วย วุ้นเป็นคนดี วุ้นกลั้นน้ำตาไม่อยู่” 
                  
       สำหรับการเตรียมงานเจ้าบ่าวบอกว่าโชคดีที่มีเพื่อนเป็น wedding planner
       ชาคริต : “โชคดีมีเพื่อนเป็น Wedding Planner เขารู้เรื่องของเราอยู่แล้ว ขอบคุณที่ทำให้งานสมบูรณ์ ธีมงานข้างนอกไม่อยากให้มีดอกไม้เยอะ ข้างในเป็น Secret Garden เอาทุกอย่างมารวมกัน ของชำร่วยเป็นสมุดบันทึกรูปของเรา ถ่ายแฟชั่นด้วยกัน มีสูตรทำขนมที่ชอบทำ และ Candy จะมีชื่อตัวย่อของเราสองคน วันที่ คำว่ารัก ส่วนแหวนเราสองคนเชื่อในเรื่องของความรัก ประมาณ 3 กะรัต
       วุ้นเส้น : “ส่วนของพี่คริตกะรัตกว่าๆ”
       ฝ่ายชายหยอดหวานบอกให้สัญญากับฝ่ายหญิงทุกวันว่าจะรักกันตลอดไป พร้อมบินฮันนีมูนฝรั่งเศสเดือนหน้า ส่วนเรื่องทายาทนั้นเจ้าบ่าวหมาดๆ เผยว่า...
       “เรื่องทายาท ทำงาน ขอเที่ยวกันสองคนก่อน ใช้ชีวิตด้วยกันก่อน รอไปก่อน”



       

       "แมงมุม-ผู้พันดอลล่า" อยู่ด้วยกันจนวันตาย
       มาถึงคู่สุดท้าย เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา เจ้าบ่าวในเครื่องแบบ “ดอลล่า-พล.ต.พัชร รัตตกุล” จูงมือ “คุณแมงมุม ม.ร.ว.ศรีคำรุ้ง ยุคล” บุตรีในหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล และหม่อมกมลา ยุคล ณ อยุธยา ฉลองมงคลพิธีสมรสพระราชทาน ที่จัดขึ้นภายในสวนหลวง ร. ๙ โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธี ท่ามกลางแขกผู้ใหญ่ คนดัง และเพื่อนสนิทของทั้งสองฝ่ายมากันอย่างคับคั่ง
        
       
       "จะร่วมชีวิตอยู่ด้วยกันไปจนวันตาย" นี่เป็นคำมั่นสัญญาของเจ้าบ่าวที่ให้แก่เจ้าสาวในวันแต่งงาน สร้างความตื้นตันใจให้เธอเป็นอย่างมาก พร้อมเปรยว่าตั้งใจปั๊มทายาท 3 คน ถ้าเป็นแฝด 3 เลยยิ่งดี
        
       
       "แมงมุมเป็นคนที่ทำให้ผมเป็นคนที่ดีขึ้น ต่อจากนี้เป็นต้นไป เราจะสร้างชีวิตทำมาหากิน สร้างครอบครัวต่อไป" ด้านเจ้าสาวปลื้มเจ้าบ่าวที่เป็นผู้ชายอบอุ่น "เขาทำให้เราเป็นตัวของเราเอง เขารักที่เราเป็นเรา" ส่วนเรื่องฮันนีมูนทั้งคู่เตรียมบินสวีทที่ประเทศอิตาลี
       
        
       
       ขอขอบคุณ :ภาพประกอบจาก MSN Sanook และ kapook.com

ถล่มยิง อส.ปัตตานี ดับคาที่ก่อนฉกปืน 2 กระบอกหนีลอยนวล

ปัตตานี - คนร้ายถล่มยิง อส. อ.เมืองปัตตานี ขณะขับ จยย.ไปเข้าเวรดับคาที่ 1 ราย สุดแสบก่อนหนีฉกปืนประจำตัวของผู้ตายหลบหนีลอยนวลไปอีก 2 กระบอก
       วันนี้ (23 เม.ย.) เมื่อเวลา 07.45 น. พ.ต.อ.สมพร มีสุข ผกก.สภ.เมืองปัตตานี ได้รับแจ้งมีเหตุยิงกันบนถนนสายปัตตานี - นราธิวาส ม.5 บ้านตาโกะ ต.รูสะมิแล จึงนำกำลังไปที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันธ์ ผบก. พ.ต.อ.จีรวัฒน์ อุดมสุด รอง ผบก. ว่าที่ ร.ต.เอกรัฐ ชูหวาน ปลัดป้องกัน อ.เมือง เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบผู้เสียชีวิตอยู่ในเครื่องแบบอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) ทราบชื่อคือ นายซุลกิฟลี ตาเฮ อายุ 46 ปี เป็น อส.อ.เมืองปัตตานี อยู่บ้านเลขที่ 32/1 ม.8 ต.ปะกาฮารัง อ.เมืองปัตตานี สภาพศพถูกยิงด้วยอาวุธปืนเอ็ม 16 และอาก้า เข้าศีรษะและลำตัวหลายนัด โดยในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนทั้ง 2 ชนิดกว่า 10 ปลอกตกเกลื่อนบนถนน เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
สอบสวนก่อนเกิดเหตุทราบว่า ขณะที่ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อซูซูกิ ทะเบียนป้ายแดง ออกมาจากบ้านพักเพื่อเดินทางไปเข้าเวร ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองปัตตานี ปรากฏว่าเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุมีคนร้าย 4 คน ใช้รถจักรยานยนต์จำนวน 2 คันเป็นพาหนะขับตามประกบ เมื่อสบโอกาสจึงใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 กราดยิงทันทีจนรถเสียหลักล้ม จากนั้นคนร้ายจึงได้ลงจากรถหยิบอาวุธปืนอาก้าประจำกายของผู้ตายยิงซ้ำอีก หลายนัดจนเสียชีวิต และก่อนจะหลบหนียังได้ขโมยอาวุธปืนพกสั้นขนาด .38 และอาก้า รวม 2 กระบอกของผู้ตายหลบหนีไปด้วย
       ส่วนสาเหตุ เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นฝีมือแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบ โดยติดตามความเคลื่อนไหวของผู้ตายมาตลอด เมื่อสบโอกาสจึงก่อเหตุหมายสังหารเจ้าหน้าที่พร้อมขโมยอาวุธปืน เพื่อนำไปก่อเหตุสร้างสถานการณ์ไม่สงบ


ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

ผลประโยชน์ “ไทยพรีเมียร์ลีก” เมื่อตอเริ่มผุด

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลไทยก็ว่าได้ ที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ถูกตรวจสอบ-ซักฟอก อย่างเข้มข้น จากผู้เป็นสมาชิก ในเรื่องการดำเนินงานที่คลุมเครือ ไม่โปร่งใส โดยเฉพาะเรีองผลประโยชน์ เงินๆ ทองๆ เมื่อ นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร ปราสาทสายฟ้า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตั้งคำถามกับ บริษัทไทยพรีเมียร์ ลีก ผู้จัดการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย ไทยพรีเมียร์ลีก และไทยลีก ดิวิชัน 1
       นายเนวินถามว่า รายได้จากการขายลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขัน รายได้จากสปอนเซอร์ รวมกันประมาณ 200 ล้านบาท หายไปไหน ทำไมบริษัทไทย พรีเมียร์ลีก จึงไม่มีเงินมาจ่ายรางวัลให้กับสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
       บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก ซึ่งควรจะต้องเป็นผู้ตอบคำถามนี้ เพราะเป็นเจ้าของสิทธิในการจัดการแข่งขัน ตอบไม่ได้ นายวิชิต แย้มบุญเรือง ประธานกรรมการบริษัทไทยพรีเมียร์ลีกเอง ก็ตอบไม่ได้
       ในยุคที่สื่อโซเชียลมีเดีย มีบทบาทในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารได้กว้างขวางกว่า เข้าถึงมากกว่า รวดเร็วกว่า และตรงไปตรงมามากกว่า สื่อหนังสือพิมพ์ และทีวี วิทยุ อำนาจการควบคุมสื่อของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ที่ใช้การจ่ายผลประโยชน์ต่างตอบแทนเป็นเครื่องมือ ไม่สามารถแทรกแซง ปิดกั้น การเดินทางของข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์ได้ ภาพและเสียงของนายเนวิน ที่ถามว่าเงินหายไปไหนในการประชุมร่วมกันของสโมสรสมาชิกไทยพรีเมียร์ลีก เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ถูกโพสต์ลงในเว็บไซต์ยูทิวบ์ จึงแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว และทำให้นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ไม่อาจนิ่งเฉย โดยหวังว่าเมื่อสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ปิดปากตัวเองแล้ว เรื่องจะเงียบไปเองได้
       บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต จำกัด (มหาชน) ผู้รับสิทธิ การดูแลผลประโยชน์ ไทยพรีเมียร์ ลีก ต้องเป็นผู้แถลงข่าว ชี้แจงแทนบริษัท ไทยพรีเมียร์ ลีก และสมาคมฟุตบอล ทั้งๆ ที่โดยหลักการแล้ว เป็นเรื่องระหว่างสมาชิกสโมสร กับบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก นายเนวิน ถามบริษัทไทยพรีเมียร์ลีกว่า เงินหายไปไหนในกรณีนี้สยามสปอร์ตฯ เป็นบุคคลที่ 3 หน้าที่การชี้แจง ควรเป็นหน้าที่ของบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก หรือสมาคมฟุตบอลมากกว่า แต่ไทยพรีเมียร์ลีก หรือสมาคมฟุตบอลตอบไม่ได้ เพราะเงิน 200 ล้านบาทนั้น ไม่ได้เข้ามาที่บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก หรือสมาคมฟุตบอลเลย แต่อยู่กับสยามสปอร์ตฯ นั่นเอง
       ด้วยเหตุนี้กระมัง เมื่อเรื่องนี้ ทำท่าว่านายวรวีร์จะเอาไม่อยู่ สยามสปอร์ตฯ จึงใช้วิธีสละเรือทิ้งกลางคัน ประกาศถอนตัวออกจากการเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ ไทยพรีเมียร์ ลีก โดยใช้น้ำเสียง ท่วงทำนองที่แสดงความน้อยอกน้อยใจว่า อุตส่าห์เสียสละ ตั้งอกตั้งใจพัฒนาฟุตบอลอาชีพ จากที่เคยล้มลุกคลุกคลาน จนประสบความสำเร็จได้ในทุกวันนี้ยังมาถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่โปร่งใสอีก จึงขอยุติการทำหน้าที่ดูแลสิทธิประโยชน์ การแข่งัขนฟุตบอลอาชีพดีกว่า
ความจริงแล้ว การปลุกปั้นไทยลีก และลีกอาชีพอื่นๆ ของสยามสปอร์ตฯ นั้น ไม่ใช่ความเสียลสะให้กับวงการฟุตบอลไทย แต่เป็นการลงทุน โดยหวังผลประโยชน์ทั้งที่เป็นผลประโยชน์ทางตรง จากการจัดการแข่งขัน และผลประโยชน์ทางอ้อมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจฟุตบอลของสยามสปอร์ตฯ ซึ่งเป็นธุรกิจขายเนื้อหา ทั้งผลการแข่งขัน และอัตราต่อรองได้เสีย รายใหญ่ที่สุดของประเทศ ที่เป็นคู่มือที่เยาวชน นักเรียน นักศึกษา ผู้มีรายได้น้อย ใช้ประกอบการตัดสินใจในการพนันบอล
การลงทุนสร้างฟุตบอลลีกอาชีพให้เกิดขึ้นในไทย คือ การสร้างโปรดักต์ใหม่ที่เมดอินไทยแลนด์ เพื่อขยายตลาดธุรกิจฟุตบอล ซึ่งมีผลประโยชน์มากมาย หลายหลากทั้งเปิดเผย และแฝงเร้น ตั้งแต่การขายข้อมูลสำหรับการพนัน การหารายได้จากสปอนเซอร์ ไปจนถึงโต๊ะพนันบอล
       งบกำไร ขาดทุนที่สยามสปอร์ตฯ จำเป็นต้องเล่นตามเกมที่นายเนวินเปิดขึ้นมา นำออกมาชี้แจงต่อ ที่ประชุม สโมสรสมาชิก เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมานั้น หากดูแต่เฉพาะ บรรทัดสุดท้าย ก็จะเห็นใจสยามสปอร์ตฯ ว่า รายได้จากการเป็นผู้ดูแลประโยชน์ การแข่งขันฟุตบอลอาชีพ น้อยมาก ไม่คุ้มการกับลงทุนลงแรงเลย เพราะมีกำไรแค่ 8 ล้าน 5 แสนบาทเท่านั้น ซึ่งต้องแบ่งครึ่งระหว่างสยามสปอร์ตฯ กับบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก แต่ถ้าไปดูรายจ่ายบางรายการ ก็จะพบว่ามีรายได้แอบแฝงอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าเข้ากระเป๋าใคร เช่น ค่ามาร์เกตติ้ง ในการหาสปอนเซอร์ 25 ล้านบาท ค่าถ่ายทอดทางช่อง 11 เป็นเงิน 26 ล้านบาท ค่าถ่ายทอดสด ลีกดิวิชัน 1 ทางทรูช่อง 69 เป็นเงิน 12 ล้านบาท ค่าถ่ายทอดสดลีกดิวิชัน 2 ทางทรูช่อง 69 และ 74 เป็นเงิน 5.7 ล้านบาท
       การถ่ายทอดสดทางช่อง 69 และ 74 ของทรูนั้น มีโฆษณา แต่ในงบกำไรขาดทุนที่สยามสปอร์ตฯ ชี้แจงนั้น ไม่มีรายรับรายการนี้ มีแต่รายจ่ายคือ ค่าถ่ายทอดสด จึงน่าสงสัยว่าเงินค่าโฆษณานี้ไปอยู่กับใคร
       ในที่ประชุม เมื่อวันที่ 20 เมษายน คำถามหนึ่งที่นายเนวิน ถามนายวรวีร์คือ ระหว่างสยามสปอร์ตฯ กับบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก มีสัญญาแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์หรือไม่ ซึ่งนายวรวีร์ตอบว่ามีนายเนวินถามว่าจะขอดูได้ไหม นายวรวีร์ตอบว่าต้องทำหนังสือขอเป็นทางการมา
       เพราะการที่สยามสปอร์ตฯ ประกาศถอนตัวอย่างฉับพลัน เป็นเรื่องผิดปกติ เนื่องจากการทำสัญญาแบบนี้ จะต้องมีเงื่อนไขในการบอกเลิกสัญญา มีข้อกำหนดความรับผิดชอบของคู่สัญญา กรณีเลิกสัญญาก่อนกำหนด แต่การที่สยามสปอร์ตสามารถเลิกสัญญาได้ในทันที โดยไม่ต้องคำนึงถึง ข้อผูกพันที่มีกับสปอนเซอร์ ทำให้นายเนวิน คิดว่า สยามสปอร์ตฯ กับไทยพรีเมียร์ลีก อาจจะไม่มีสัญญาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้
นายเนวินจะมีวัตถุประสงค์อย่างไร ในการตรวจสอบบริษัไทยพรีเมียร์ลีกในครั้งนี้ก็ตามแต่ แต่คำถามของเขาที่นายวรวีร์ และนายวิชิตตอบไม่ได้ ต้องให้สยามสปอร์ตฯ ตอบแทนนั้น ยิ่งตอบ ก็ยิ่งทำให้เห็นภาพความไม่โปร่งใสในธุรกิจกีฬาฟุตบอลอาชีพชัดเจนขึ้น

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์